วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2567

หลักคิด 43

 25 กฎทองของ Peter Lynch สำหรับการลงทุน


1 การลงทุนเป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น แต่ก็อันตรายถ้าไม่ศึกษาให้ดี


2 ข้อได้เปรียบของคุณไม่ได้มาจากผู้เชี่ยวชาญ แต่มาจากสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจอยู่แล้ว ลงทุนในบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่คุณคุ้นเคยจะช่วยให้คุณเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้


3 ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยนักลงทุนมืออาชีพ แต่นั่นกลับเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนรายย่อย คุณสามารถเอาชนะตลาดได้โดยไม่ทำตามคนหมู่มาก


4 เบื้องหลังหุ้นทุกตัวคือบริษัท จงศึกษาว่าบริษัทนั้นทำอะไร


5 ความสำเร็จของบริษัทและราคาหุ้นในระยะสั้นอาจไม่สัมพันธ์กัน แต่ในระยะยาวมันสัมพันธ์กัน 100% นี่คือกุญแจสำคัญในการทำเงิน อดทนและลงทุนในบริษัทที่ประสบความสำเร็จ


6 คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังถือครองอะไร และเพราะอะไร ไม่ใช่แค่ "หุ้นตัวนี้ต้องขึ้นแน่ๆ"


7 การลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จน้อยมักจะพลาดเป้าเสมอ


8 การถือหุ้นก็เหมือนมีลูก อย่ามีมากกว่าที่คุณจะดูแลได้ นักลงทุนรายย่อยอาจมีเวลาติดตาม 8-12 บริษัท และซื้อขายตามสภาพการณ์ ไม่จำเป็นต้องมีหุ้นมากกว่า 5 ตัวในพอร์ตตลอดเวลา


9 ถ้าไม่พบหุ้นที่น่าสนใจ ให้ฝากเงินไว้ในธนาคารจนกว่าจะเจอ


10 อย่าลงทุนในบริษัทที่ไม่เข้าใจฐานะทางการเงิน การขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดมักมาจากบริษัทที่มีงบดุลที่แย่ ตรวจสอบงบดุลก่อนเสมอ


11 หลีกเลี่ยงหุ้นยอดนิยมในอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรง บริษัทที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่หวือหวามักจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่


12 สำหรับบริษัทขนาดเล็ก รอให้บริษัทมีกำไรก่อนค่อยลงทุน


13 ถ้าคิดจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีปัญหา ให้ซื้อบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และรอให้อุตสาหกรรมนั้นฟื้นตัว


14 การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงที่จะขาดทุน แต่ก็มีโอกาสได้กำไรมหาศาล คนทั่วไปสามารถโฟกัสที่บริษัทดีๆ ไม่กี่แห่ง ในขณะที่ผู้จัดการกองทุนต้องกระจายความเสี่ยง การถือหุ้นมากเกินไปจะทำให้เสียโอกาสในการทำกำไร หุ้นที่ชนะไม่กี่ตัวก็เพียงพอต่อการลงทุนที่คุ้มค่าตลอดชีวิต


15 ในทุกอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค นักลงทุนมือสมัครเล่นที่ช่างสังเกตสามารถพบหุ้นเติบโตได้ก่อนที่มืออาชีพจะค้นพบ


16 ภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณเตรียมพร้อม มันจะไม่ทำร้ายคุณ ภาวะตลาดตกต่ำเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้นราคาถูก


17 ทุกคนมีความสามารถในการทำเงินในตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความอดทน ถ้าคุณขายหุ้นเพราะตื่นตระหนก คุณควรหลีกเลี่ยงหุ้นและกองทุนรวมหุ้น


18 มีเรื่องให้กังวลเสมอ หลีกเลี่ยงการคิดมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และเพิกเฉยต่อข่าวร้าย ขายหุ้นเพราะปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแย่ลง ไม่ใช่เพราะกลัวว่าตลาดจะล่ม


19 ไม่มีใครสามารถคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นได้ ละทิ้งการคาดการณ์ทั้งหมดและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับบริษัทที่คุณลงทุน


20 ถ้าคุณศึกษา 10 บริษัท คุณจะพบ 1 บริษัทที่ดีเกินคาด ถ้าคุณศึกษา 50 บริษัท คุณจะพบ 5 บริษัท ในตลาดหุ้นมีบริษัทที่ประสบความสำเร็จแต่ถูกมองข้ามอยู่เสมอ


21 ถ้าคุณไม่ศึกษาบริษัทใดๆเลย การซื้อหุ้นของคุณก็เหมือนการเล่นโป๊กเกอร์โดยไม่ดูไพ่


22 เวลาเป็นของคุณเมื่อคุณถือหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยม คุณสามารถอดทนได้แม้ว่าจะพลาดโอกาสซื้อหุ้น Walmart ในช่วงห้าปีแรก แต่มันก็ยังเป็นหุ้นที่ดีในการถือครองในอีกห้าปีข้างหน้า เวลาเป็นศัตรูของคุณเมื่อคุณถือครองออปชั่น


23 ถ้าคุณรับความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นได้ แต่ไม่มีเวลาหรือความสนใจที่จะศึกษา ให้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรมีกองทุนหลายประเภทที่มีผู้จัดการลงทุนในรูปแบบที่แตกต่างกัน การลงทุนในกองทุนประเภทเดียวกัน 6 กองไม่ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง


24 ในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในอันดับที่ 8 ในด้านผลตอบแทนรวมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คุณสามารถลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่มีผลงานดีเพื่อใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วกว่า


25 ในระยะยาว พอร์ตหุ้นและ/หรือกองทุนรวมหุ้นที่เลือกสรรมาอย่างดีจะให้ผลตอบแทนดีกว่าพอร์ตพันธบัตรหรือบัญชีตลาดเงินเสมอ ในระยะยาว พอร์ตหุ้นที่เลือกมาไม่ดีจะให้ผลตอบแทนไม่ดีไปกว่าเงินสดที่เก็บไว้ใต้ที่นอน


@@@@@@@@@@@@@@



50 ศัพท์ที่นักลงทุนควรรู้


โดย Brian Feroldi


401(k): บัญชีสำหรับเก็บเงินเกษียณที่นายจ้างสนับสนุน มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี


Acquisition: การเข้าซื้อบริษัทอื่น


Appreciation: การเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์


Asset Allocation: การจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง


Balance Sheet: งบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัท ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง


Bear Market: ตลาดขาลง


Bonds: ตราสารหนี้


Bull Market: ตลาดขาขึ้น


Capital Gains: กำไรจากการขายสินทรัพย์


Cash Flow Statement: งบกระแสเงินสด


Compounding: การทบต้นของผลตอบแทน


Convertible Notes: หุ้นกู้แปลงสภาพ


Correction: ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 10% หรือมากกว่า


Debt: หนี้สิน


Dilution: การเพิ่มจำนวนหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลง


Diversification: การกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท


Dividend: เงินปันผล


Dividend Yield: อัตราผลตอบแทนเงินปันผล


Dollar-Cost Averaging: การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน


Dow Jones Industrial Average: ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์


Earnings Per Share (EPS): กำไรต่อหุ้น


Exchange Traded Fund (ETF):: กองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์


Expense Ratio: ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนรวม


Federal Reserve (Fed): ธนาคารกลางสหรัฐ


Free Cash Flow: กระแสเงินสดอิสระ


Gross Margin: อัตรากำไรขั้นต้น


Individual Retirement Arrangement (IRA): บัญชีเกษียณส่วนบุคคล


Income Statement: งบกำไรขาดทุน


Index Fund: กองทุนรวมดัชนี


Initial Public Offering (IPO): การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก


Market Capitalization: มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด


Mutual Fund: กองทุนรวม


Net Income: กำไรสุทธิ


NASDAQ Composite Index: ดัชนีแนสแด็ก


Portfolio: กลุ่มสินทรัพย์ที่นักลงทุนถือครอง


Price/Earnings (P/E): อัตราส่วนราคาต่อกำไร


Price/Free Cash Flow (P/FCF): อัตราส่วนราคาตลาดต่อกระแสเงินสดอิสระ


Price/Sales (P/S): อัตราส่วนราคาตลาดต่อยอดขาย


Rebalancing: การปรับพอร์ตการลงทุน


Roth IRA: บัญชีเกษียณแบบ Roth


Roth 401(k): บัญชีเกษียณแบบ Roth ที่นายจ้างสนับสนุน


Securities and Exchange Commission (SEC): สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์


Sideways Market: ภาวะตลาดทรงตัว


Stock-Based Compensation: การจ่ายค่าตอบแทนพนักงานด้วยหุ้น


Stock Buybacks: การซื้อหุ้นคืน


Stock Market: ตลาดหลักทรัพย์


Stock Split: การแตกพาร์


Stock Market Index: ดัชนีตลาดหุ้น


Target-Date Retirement Funds: กองทุนรวมเพื่อการเกษียณที่ปรับสัดส่วนสินทรัพย์ตามอายุของผู้ลงทุน


@@@@@@@@@@@



ROCE คืออะไร?


ROCE คืออัตราส่วนที่ใช้วัดว่าบริษัทสามารถใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดในการสร้างผลกำไร โดยคำนวณจาก


ROCE = EBIT / (Average Total Assets - Average Current Liabilities)


โดยที่:

•EBIT คือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี

•Average Total Assets คือ สินทรัพย์รวมเฉลี่ย

•Average Current Liabilities คือ หนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ย

ประโยชน์ของ ROCE


•เป็นการวัดประสิทธิภาพการใช้เงินทุนที่ครอบคลุม

•คำนวณและเข้าใจง่าย

•มีประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนสูง


ข้อจำกัดของ ROCE


•อาจมีการบิดเบือนจากระดับหนี้ที่สูง

•ไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาของกระแสเงินสด

•ไม่น่าเชื่อถือเมื่อเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน


เมื่อใดควรใช้ ROCE


ROCE เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน

สิ่งที่ควรระวัง

•ความไม่สอดคล้องกันในคำจำกัดความ

•ความอ่อนไหวต่อความผันผวนในระยะสั้น

•ระดับหนี้ที่สูงบิดเบือนผลลัพธ์


สรุป


ROCE เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพของบริษัทในการใช้เงินทุน แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและตระหนักถึงข้อจำกัดของมัน


ROCE (Return on Capital Employed) คือตัวเลขที่บอกว่าบริษัทใช้เงินลงทุนเก่งแค่ไหนในการทำกำไร 


คิดง่ายๆ ว่ายิ่ง ROCE เยอะ บริษัทก็ยิ่งบริหารเงินเก่ง ทำกำไรได้เยอะจากเงินที่มีอยู่


ข้อดีของ ROCE คือเข้าใจง่ายและใช้ได้กับทุกธุรกิจ 


แต่ข้อเสียคืออาจคลาดเคลื่อนถ้าบริษัทมีหนี้เยอะ และไม่เหมาะเอามาเทียบกับบริษัทต่างอุตสาหกรรมกัน






ROCE (Return on Capital Employed) และ ROIC (Return on Invested Capital) เป็นเครื่องมือวัดผลตอบแทนจากการลงทุนที่คล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในรายละเอียดดังนี้


ROCE (Return on Capital Employed)

 • ความหมาย: วัดความสามารถของบริษัทในการสร้างผลกำไรจากเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนจากเจ้าของหรือเงินกู้

 • สูตรคำนวณ: EBIT / (สินทรัพย์รวมเฉลี่ย - หนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ย)

 • จุดเน้น: มองภาพรวมของเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงานทั้งหมด

 • ข้อดี: เข้าใจง่าย, คำนวณง่าย, เหมาะสำหรับเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน

 • ข้อเสีย: อาจคลาดเคลื่อนได้หากบริษัทมีหนี้สินมาก, ไม่เหมาะสำหรับเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม



ROIC (Return on Invested Capital)

 • ความหมาย: วัดความสามารถของบริษัทในการสร้างผลกำไรจากเงินลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนจากเจ้าของ, หุ้นบุริมสิทธิ หรือหนี้สินที่มีดอกเบี้ย

 • สูตรคำนวณ: NOPAT / (ส่วนของผู้ถือหุ้น + หนี้สินที่มีดอกเบี้ย)

 • จุดเน้น: มองเฉพาะเงินลงทุนที่สร้างผลตอบแทน

 • ข้อดี: ให้ภาพที่แม่นยำกว่าในการประเมินประสิทธิภาพการใช้เงินทุน, เหมาะสำหรับเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม

 • ข้อเสีย: คำนวณซับซ้อนกว่า ROCE



สรุป

ROCE และ ROIC เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพการใช้เงินทุนของบริษัท แต่ ROIC จะให้ภาพที่ละเอียดและแม่นยำกว่าในการวัดผลตอบแทนจากเงินลงทุนทั้งหมด ในขณะที่ ROCE เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน



@@@@@@@@@@



ศึกษาหุ้นรายตัวก่อน (Bottom-up) เพราะการวิเคราะห์ภาพใหญ่ก่อนภาพเล็ก (Top-down) อาจทำให้พลาดหุ้นที่ดีที่สุดไป 


เนื่องจากราคาหุ้นมักจะขึ้นไปสูงแล้วเมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นที่น่าสนใจ 


อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็มีการเริ่มจากการดูกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจก่อน แล้วค่อยเลือกหุ้นที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้น 


การทำตารางหุ้นช่วยให้เห็นภาพรวมว่าหุ้นกลุ่มไหนกำลังเป็นที่นิยม


@@@@@@@@



ดูหนี้สิน ต่อผู้ถือหุ้น

ดูหุ้นซื้อคืนว่ามีหรือเปล่า  

ดูสภาพคล่องทางการเงิน 

ดูว่ามีกำไรพิเศษหรือเปล่า 

ดูระยะเวลาในการขายสินค้า 

ดูระยะเวลาในการเก็บหนี้

ดูระยะเวลาในการจ่ายคืนหนี้  


ดู factsheet


@@@@@@@



สำหรับผู้ที่กำลังสร้างพอร์ตหุ้นปันผลเพื่อรับผลตอบแทน 4-6% ต่อปี ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ค้างชำระนั้นสูงถึง 16% ต่อปี 


ดังนั้น หากท่านมีภาระหนี้บัตรเครดิต ควรจัดการชำระให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำเงินไปลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินความจำเป็น


นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินนอกระบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำลายตัวเองและครอบครัว เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากจะยิ่งทำให้สถานะทางการเงินของท่านย่ำแย่ลง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการกู้ยืมเงินนอกระบบอย่างเด็ดขาด



@@@@@@@


- ค้นหาธุรกิจที่แข็งแกร่ง  ธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นระยะเวลานาน


- ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง


- ถือหุ้นระยะยาวจนกว่าปัจจัยพื้นฐานจะเปลี่ยน


- ทำซ้ำขั้นตอนข้างต้น


@@@@@@@@



ถ้าบริษัทที่คุณลงทุน 

- ฐานะการเงินมั่นคงและแข็งแรงดี 

- ความสามารถในการทำกำไรระยะยาวอย่างแข็งแรงดีอยู่ นั่นหมายถึงมูลค่ายังเพิ่มขึ้น 

- ความสามารถในการทำกำไรระยะสั้นลดลงชั่วคราว นั่นคือราคาหุ้นจะลดลงในระยะสั้นชั่วคราว 


นั่นแปลว่าพอร์ตคุณมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกปี  ถึงแม้จะแสดงภาพราคาระยะสั้นว่ามีราคาลดลงชั่วคราวก็ตาม