********
การซื้อหุ้นที่ราคาเกินมูลค่า (ราคาแพง) แล้วหวังว่าจะขายได้ราคาที่เกินกว่าราคาที่เกินมูลค่าอยู่แล้วนั้น ต้องอาศัยโชค ต้องคาดหวังว่าจะมีคนที่โง่กว่ามาซื้อต่อในราคาแพงกว่า ซึ่งอาจเป็นไปได้ในภาวะตลาดกระทิง
แต่การซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า แล้วรอให้ราคาค่อยๆเพิ่มไปหามูลค่า มันไม่ต้องอาศัยโชค แค่ให้ตลาดรับรู้ตามความเป็นจริง มีเหตุผล ให้ราคาที่เหมาะสมตามความเป็นจริงเท่านั่น
แต่ถ้าหากตลาดที่รับรู้ตามความเป็นจริงนั้นต่อมาเกิดเป็นตลาดกระทิงอีกด้วยหล่ะ ???
ถึงแม้ว่าราคาตลาดจะไม่จำเป็นต้องรีบวิ่งเข้าหามูลค่า เพราะมันสามารถทำตัวไร้เหตุผลได้นาน นานกว่าที่ใครจะคิดได้ทีเดียว แต่นั่นแหละ การซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่านั้นเป็นทางที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดและมีเหตุผลมากที่สุดที่จะทำได้
*****
การลงทุนระยะยาวถือว่าเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ดีที่สุด เพราะความผันผวนทำให้ในระยะสั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้
*****
ช่วงภาวะวิกฤติควรเลือกหุ้นที่มีความแข็งแรงของงบการเงิน หุ้นที่จ่ายปันผล และมีหนี้สินต่ำ มากกว่าจะมุ่งเน้นเลือกหุ้นเติบโตแต่พียงอย่างเดียว
*****
ผลกำไรเท่ากันที่ทำได้จากหุ้นต่างกัน มีคุณภาพของผลกำไรต่างกัน เพราะหุ้นที่ต่างกันนั้นมีความเสี่ยงต่างกัน
สมมติ คุณได้กำไร 20% จากหุ้นขนาดเล็กที่มีหนี้สินสูง มีสภาพคล่องต่ำ และมีความผันผวนสูง เทียบกับกำไรขนาดเดียวกันที่ได้จากบริษัทใหญ่ที่มีความมั่นคงสูง หนี้สินต่ำ ความผันผวนที่ต่ำ จะเห็นได้ชัดว่าความเสี่ยงมันต่างกันมาก
พูดง่ายๆ กำไรหลังจากปรับค่าความเสี่ยงแล้ว กำไรจะไม่เท่ากัน (ใช่แล้วมันคือ Risk Adjusted Return)
ซึ่งกำไรหลังจากปรับค่าความเสี่ยงแล้วนั้น อาจจะไม่จำเป็นต้องหาตัวเลขที่ exactly เพียงแค่มองภาพใหญ่ของ บ.ที่ลงทุน ก็พอจะรู้แล้ว
หุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ คุณสามารถวาง position ได้มาก คุณสามารถโฟกัสได้ แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ความเสี่ยงสูง การโฟกัสอาจทำให้พอร์ตพังได้ง่ายๆ
*****
สาเหตุหลักของความล้มเหลว คือ การใส่ใจต่อภาวะตลาดในขณะนั้นมากเกินไป - เกรแฮม
*******
ทุกวันนี้ นลท หมกหมุ่นกับการคาดการณ์อนาคตอันใกล้ ที่ราคาหุ้นได้สะท้อนเอาไว้แล้ว
ดังนั้นแม้สิ่งที่คาดการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก็จะไม่ได้กำไร แต่ถ้ามันไม่เกิดขึ้นอย่างที่คาด ก็จะขาดทุนอย่างหนัก
*******
ถ้าประเมินมูลค่าไม่เป็น แล้วจะเป็นนักลงทุนได้อย่างไร เพราะนักลงทุนทุกคนจ่ายเงินเพื่อคาดหวังว่าจะได้มูลค่ามากกว่าเงินที่จ่ายไป (ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าในอนาคตหรือปัจจุบันก็ตาม)
******
ลงทุนใน บ.ที่มีมูลค่าหนุนหลังและมีหนี้สินที่ต่ำ จะเป็นการลงทุนปลอดภัยมากขึ้น
******
ทำการบ้านเตรียมพร้อมไว้ให้มาก เมื่อโอกาสมาถึง จะได้คว้าได้ทันที ไม่ใช่ปล่อยให้โอกาศผ่านลอยไป หรือต้องมาเสียเวลาศึกษายืดยาว
โอกาส มาจากสองส่วน ส่วนที่ตัวเราควบคุมได้เพื่อสร้างโอกาส กับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ เราควรโฟกัสไปยังจุดที่เราควบคุมได้
อะไรที่เราควบคุมได้เพื่อสร้างโอกาส เช่น การเตรียมพร้อม ความทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง การพยายามเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะต่างๆ การละทิ้งสิ่งที่ดึงให้เราตกต่ำ
******
สิ่งที่เราทุกคนมีเท่ากันคือเวลา
สิ่งที่จะทำให้เราทุกคนมีความเจริญก้าวหน้าคือ ทักษะ
สิ่งที่แตกต่างกันคือความขยันและการทุ่มเทบนความต่อเนื่อง
******
ความสวยงามของการลงทุนแนววีไออย่างนึงก็คือ ยิ่งอยู่นิ่งได้นาน ยิ่งมีโอกาสกำไรได้มาก
#นั่งทับมือให้เป็น
*****
การเติบโตสูงๆของ บ.จะส่งผลให้ ความอยากได้ของนักลงทุนทวีความรุนแรงขึ้น จนบดบังความคิดในการวิเคราะห์
*****
นักลงทุนไม่ควรลงทุนในบริษัทหากพวกเขายังไม่ได้ศึกษางบการเงินของบริษัทและประเมินมูลค่าของบริษัท ไม่ว่าสินค้าของบริษัทจะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม - ปีเตอร์ ลินซ์
*****
ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์หรือจะเป็นนักลงทุนก็ตาม การยอมรับว่า position ไหนผิดและรีบออกจากสถานะที่ผิดนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
*****
หุ้น/ดัชนี ตัวใดก็แล้วแต่ที่ราคาขึ้นอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายมักจบลงด้วยความล่มสลาย
เพราะการขึ้นอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายแล้วพื้นฐานจะรองรับไม่ไหว
มันเหมือนการต่อเติมตึกให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บนเสาเข็มเดิมที่เพิ่มเติมอย่างช้าๆ สุดท้ายเมื่อรากฐานรองรับไม่ได้ ก็พังทลายลงมา
*****
ในมุมของ นลท ความเสี่ยงที่อาจพบได้บ่อยคือ ความเสื่อมถอยของพื้นฐานกิจการ ทางแก้คือกระจายซื้อหุ้นหลายๆตัว แต่ความผันผวนของราคาหุ้นไม่ควรถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงของ นลท
*****
นลท ไม่ควรหลงรักหุ้น แต่ควร คงสถานะ/เพิ่ม/ลดสถานะ ตามอัพไซส์ของบริษัทตามที่ประเมินได้
******
- ผลตอบแทนสูง เกิดได้จากความเสี่ยงที่สูงและต่ำ
- ความเสี่ยงที่สูงอาจให้ผลตอบแทนที่สูงและต่ำ
- ความเสี่ยงต่ำอาจให้ผลตอบแทนต่ำและสูง
ดังนั้นคุณเลือกได้เลย ว่าจะลงทุนแบบความเสี่ยงสูงหรือความเสี่ยงต่ำ
****
ผู้ชนะ จะรู้จังหวะลุย จังหวะถอยและบางจังหวะต้องนิ่งเป็น
ใช้ได้กับทุกอย่างทั้งหุ้น การเมือง การดำเนินชีวิต
*******
ความโลภ ความกลัว และความผิดพลาดในบางครั้ง (Human error) คือสิ่งที่จะอยู่คู่กับมนุษย์ตลอดไป
*****
สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนขั้นพื้นฐาน
นักลงทุน --> ผู้ประกอบการ --> กิจการ --> เพิ่มการจ้างงาน --> พนักงานมีรายได้
ในดอจการขนาดเล็ก นักลงทุนกับผู้ประกอบการ คือ คนเดียวกัน
ในกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องการเงินลงทุนมาก นักลงทุนกับผู้ประกอบการอาจแยกจากกัน เพราะหากอาศัยแต่เพียงผู้ประกอบการอาจมีเงินทุนไม่เพียงพอ
ทางหนึ่งที่ผู้ประกอบการจะได้เงินจากนักลงทุน คือ การหาหุ้นส่วน
และช่องทางที่เป็นมาตรฐานที่สุดในการหาหุ้นส่วนก็คือขายหุ้นของกิจการในตลาดหุ้น
ดังนั้นนักลงทุนที่แท้จริงแล้ว ลงทุนบนกิจการจริงๆ
นักลงทุนไม่ใช่เทรดเดอร์ ที่ดูแค่กราฟแท่งเทียนแดงแท่งเขียว
นักลงทุนเมื่อลงทุนแล้วก็ย่อมจะเป็นเจ้าของกิจการและคาดหวังให้กิจการประสบความสำเร็จ ขยายกิจการมีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น และมุ่งหวังให้ผลกำไรของกิจการเติบโต
ดังนั้นหากใครบอกว่านักลงทุน ไม่ได้ทำกิจการจริงๆ แสดงว่าคนเหล่านั้นขาดความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจการลงทุนเป็นอย่างมาก มีความอ่อนด้อยในด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
*****
นักลงทุนมันจะ แอคชั่น มากที่สุดบนช่วงอารมณ์ของความดีใจสุดๆกับกลัวสุดๆ
ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักของการติดดอย และขายที่จุดต่ำสุด
********
ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำตลอดเวลา
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการเตรียมพร้อม
*****
การลงทุนเป็นไปเพื่อสร้างพอร์ตที่ยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ไม่ใช่เป็นการพนันหรือเพื่อเอาชนะหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง และไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่า "กูแน่" เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้นแปลว่าคุณกำลังหลงทางด้วยอีโก้ของตัวคุณเอง
ไม่มีใครทำร้ายพอร์ตคุณได้มากเท่าตัวคุณเอง
*****
สิ่งเดียวที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจในการถือหุ้นผ่านความผันผวนได้ คือ การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง ซึ่งเบื้องหลังการประเมินมูลค่าหุ้นคือความเข้าใจในบริษัทอย่างลึกซึ้ง
*******
การซื้อขายหุ้น ให้มองที่เหตุผลของเราเป็นหลักโดยต้องเป็นเหตุผลที่มาจากการศึกษาบริษัทอย่างละเอียดเพียงพอ ไม่ต้องไปคิดแทนคนอื่นว่าเขาขายหุ้นเพราะอะไร หรือคนอื่นซื้อหุ้นเพราะอะไร
รู้เพียงว่าราคาที่เราซื้อไม่อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบก็พอ
********
คนรวยรวยเพราะหาเก่งและมุ่งมั่นนำเงินที่ได้ไปลงทุนเพิ่มอย่างไม่หยุดหย่อน
ส่วนคนที่มุ่งมั่นเอาแต่จะใช้ หาได้เท่าไรอยากใช้เป็นสองเท่า ไม่มีวันจะรวย
***********
ตารางอัตราผลตอบแทนทบต้น เช่น หากสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นได้ 8% ต่อปีเป็นเวลา 30 ปี เงิน 1 ล้านจะกลายเป็น 10 ล้านบาท
คิดในทางกลับกัน
สมมติ คุณมีความสามารถในการหาผลตอบแทนทบต้นได้ 8% ต่อปี แล้วคุณใช้เงินที่มีไป 1 ลบ กับอะไรก็แล้วแต่ "มันหมายถึงเงินในอนาคต 30 ปีข้างหน้า หายไปประมาณ 10 ลบ" ไม่ได้บอกว่าไม่ควรใช้ แต่ให้นึกถึงเงินอนาคตก่อนใช้ เพื่อจะได้ใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น
เวลาพูดถึงผลตอบแทนแบบต่อเนื่อง เป็นเวลา 20-30 ปี ที่ x%-xx%จะมีบางคน ออกมาบอกว่าจะหาได้จากไหน ทำไม่ได้หรอกฟังคำถามก็รู้แล้ว ว่าคนเหล่านั้นจะไม่มีวันหาได้ เพราะความคิดตั้งต้นของเขาได้ยอมแพ้ไปแล้วส่วนคนที่ทำได้จะมีสองสิ่งนี้Create a learning curve and stay focus.ไม่มีใครเอาความสำเร็จมาใส่พานถวายให้คุณหรอกนะคุณต้องไขว่คว้าหามันด้วยตัวคุณเอง ด้วยความมุ่งมั่น ด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าคุณยอมแพ้ตั้งแต่ต้น คุณก็ไม่มีวันที่จะได้พบกับความสำเร็จ
******
มือใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดทุน แล้วมีความต้องการจะเป็นนักลงทุน (ไม่ใช่เทรดเดอร์) แนวทางแรกคือควรเน้นรักษาเงินต้นก่อน (Deep VI)
แต่บนความเป็นจริงแล้ว ส่วนมากพอเข้ามาก็อยากจะเล่นหุ้นเติบโตก่อนเลย เน้นทำเงินแบบไม่กลัวความเสี่ยง ประกอบกับประสบการณ์น้อย ความเสี่ยงเลยยิ่งเป็นทวีคูณ