คนที่ใช้ความคิดแบบรวบรัด จะสูญเสียการควบคุมตัวเองเร็วกว่าคนที่ใช้ระบบความคิดแบบมีเหตุผล
*********
คนที่เป็นนักลงทุนทุกคน เค้าไม่เคยมาถกเถียงกันเรื่องการออมเงินเลย
มันเหมือนคนที่เถียงกันเรื่องอดออม เป็นเด็กน้อยที่กำลังเถียงกันเรื่องต้องท่อง ก.ไก่หรือเปล่า
ส่วนคนที่เป็นนักลงทุนก็เสมือนกับเป็นคนที่อ่านหนังสือคล่องแล้ว เค้ารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องท่อง ไม่งั้นก็อ่านหนังสือไม่ได้
******
คนที่รู้สึกกดดันตัวเองแล้วท้อ เพราะทางเดินสู้เป้าหมายอีกไกลเหลือเกิน ลองวิธีนี้ครับ
ลองแบ่งเป้าหมายให้เล็กลงโดยใช้วีธีการมาเป็นเป้าหมายระยะสั้นแทนเป้าหมายใหญ่
สมมติ เป้าหมายหลักคือ อยากเป็นนักลงทุนที่เก่ง เป้าหมายระยะสั้นคือ ต้องอ่านให้มาก
- เพื่อรู้วิธีการที่ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เค้าทำกัน
- เพื่อปรับมายด์เซ็ท
- และอ่านเพื่อเอาข้อมูลของบริษัทต่างๆ
ก็ลองเอาการอ่านมาเป็นเป้าหมายระยะสั้น เช่นกำหนดว่า
- ต้องอ่านหนังสือลงทุนให้ได้วันละ 30 หน้า
- ต้องอ่าน ข่าวสาร ทางเศรษฐกิจทุกวัน
- ต้องอ่านบทวิเคราะห์ทุกวัน
อะไรทำนองนี้ ถ้าทำเป้าหมายระยะสั้นได้ดีต่อเนื่อง สมมติ ครบปี ก็ย่อมจะต้องเก่งขึ้นกว่าตอนไม่ทำเป้าหมายระยะสั้นเลย
การทำเป้าหมายระยะสั้นทำให้เราสามารถสบายใจว่าทำงานเสร็จครบแล้วในแต่ละวัน
เพราะเป้าหมายใหญ่ที่บอกว่าจะเป็นนักลงทุนที่เก่งนั้นบางครั้งมันดูเลื่อนลอยเกินไป (ซึ่งหากทำเป้าหมายระยะสั้นต่อเนื่องจนนานเพียงพอมันก็จะไปถึงเป้าหมายใหญ่เอง)
ลองดูครับ ใช้ได้กับทุกอย่าง ทำให้ไม่ท้อ ไม่หมดกำลังใจก่อน ถึงเป้าหมายหลัก
รวมถึงเป็นการปรับนิสัยให้พร้อม ให้คู่ควรกับเป้าหมายหลักอีกด้วย
*****
บริษัทที่สร้างค่าใช้จ่ายส่วนเกินเมื่อยามที่มีกำไรดี และเมื่อยามถึงรอบกำไรตกต่ำก็ตัดค่าใช้จ่ายส่วนเกินออกเพื่อรักษางบการเงินให้ดู smooth นั้น มันคือการ manipulate งบการเงินอย่างนึง
ค่าใช้จ่ายส่วนเกินในยามที่ธุรกิจกำลังรุ่งเสมือนเป็น Fat นั้น ไม่ใช่ margin of safety เพราะมันไม่ได้ส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้น
******
เคยสงสัยไหมว่าทำไมผู้บริหารจะต้องออกมาประกาศตัวเลขมาร์เก็ตแคปว่าจะทำให้ถึงเท่านั้นเท่านี้ในปีนั้นปีนี้
การออกมาประกาศแบบนั้นมีประโยชน์กับธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ? จริงๆแล้วการประกาศตัวเลขมาร์เก็ตแคปไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจเลย มันไม่ใช่การประกาศแนวทางการทำธุรกิจ มันไม่ใช่การประกาศเป้ารายได้ หรือแนวทางทำธุรกิจ
แล้วถ้าอย่างนั้นผู้บริหารจะออกมาประกาศตัวเลขมาร์เก็ตแคปเป็นเป้าหมายไว้เพื่ออะไร ถ้ามันไม่ได้มีประโยชน์กับธุรกิจ ก็แสดงว่ามันต้องมีประโยชน์กับผู้บริหาร ไม่งั้นก็คงไม่ออกมาประกาศ
งั้นลองมาคิดต่อการที่ผู้บริหารประกาศเป้าหมายมาร์เก็ตแคปแล้วผู้บริหารได้ประโยชน์จากอะไร
มาร์เก็ตแคปมันสะท้อนราคาหุ้น แสดงว่าผู้บริหารต้องได้ประโยชน์จากราคาหุ้น นั่นหมายความว่า ต้องได้กำไรจากราคาหุ้น
การที่จ้าวจะได้กำไรจากราคาหุ้น จ้าวต้องกินเงินใครถึงจะมีกำไรจากราคาหุ้น ???
*****
กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบไม่ใช่ว่าจะแย่เสมอไป
บริษัทต้องการเติบโต ธุรกิจบางประเภทความหลากหลายของ Stock สินค้าเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มยอดขาย ดังนั้นบริษัทที่ต้องการสร้างผลตอบแทนต่อเงินลงทุนให้สูงที่สุด อาจใช้วิธีการเพิ่มสต๊อกสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่การเพิ่มสต๊อกสินค้านั้นต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติม ซึ่งมาได้จาก 2 แหล่ง
1 รายได้จากการขาย
2 กู้ยืมเงินเพิ่ม ( ยังไม่นับรวมการเพิ่มทุน)
หากต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็ต้องนำ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน(รายได้จากการขาย) มาใช้อย่างเต็มที่เสียก่อน เพราะเป็นส่วนที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย และยังเป็นการ ป้องกัน หนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น ไม่ให้สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
นั่นเป็นสาเหตุว่า บางบริษัท ที่เติบโตดี จะมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบได้บนช่วงเวลานึง (อาจจะกินเวลานานตามรอบขาขึ้นของธุรกิจ) เนื่องจากนำรายได้จากการขาย มาเพิ่มสต๊อกสินค้า ในช่วงขาขึ้นของธุรกิจ เพื่อให้สินค้าหลากหลาย และเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า
แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าทุกธุรกิจ ที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบแล้วจะเป็นวงจรขาขึ้นของธุรกิจ มันขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและงบการเงินของ บ. แต่ละ บ.ด้วย
แต่โดยมาก บริษัทที่กระแสเงินสดติดลบระยะยาว มักจะมีความเสี่ยงว่าอาจจะต้องก่อหนี้เพิ่ม
********
บางทีคำถามง่ายๆก็ทรงพลังแต่คนส่วนมากมักมองข้าม เช่น
"เราอยากลงทุนในหุ้นของบริษัทนี้จริงๆหรือ ถ้ามีผู้บริหารแบบนี้"
*****
การเรียนรู้ การฝึกเพื่อเพิ่มพูนทักษะ การหาประสบการณ์ ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อสิ่งเดียว
นั่นคือ เพื่อการตอบสนองต่อเหตุการณ์สำคัญที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างแหลมคมและถูกต้อง
********
เล่าถึงหุ้นเดินเรือ เท่าที่รู้ละกัน (รู้น้อยเพราะเราไม่ค่อยเล่นหุ้นที่มีรอบแนวๆนี้)
หุ้นเดินเรือที่เป็นหุ้นเทกอง ใช้ในการ ขนส่งสินค้าคอมโมดิตี้ เช่นถั่วเหลือง ข้าวสาร ถ่านหิน สินแร่ ก็มี TTA PSL
หุ้นเรือตู้คอนเทนเนอร์ ก็จะใช้การขนส่งสินค้าเป็นตู้คอนเทนเนอร์เช่นพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ ก็จะมีหุ้น RCL
หุ้นพวกเรือขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว พวกนี้เรือจะใช้บรรจุน้ำมันดิบได้เป็น Tanker มี AMA PRM
มีครั้งนึงโรงเก็บน้ำมันดิบของ TASCO ไฟไหม้ บริษัทเลยต้องเช่าเรือ Tanker เหล่านี้มาเก็บน้ำมันดิบชั่วคราว
ดัชนีค่าเช่าเหมาลำของเรือเทกอง คือ ดัชนี BDI ซึ่งจะเป็นค่าเฉลี่ยทั้งเรือขนาดไซด์ใหญ่สุด ไซด์กลางและไซด์เล็ก
ส่วนดัชนีค่าระหว่างเรือ คอนเทนเนอร์ จะใช้ดัชนี CCFI SCFI ที่เป็นดัชนีค่าระหว่างเรือของจีน เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่ส่งสินค้าออกมากที่สุดในโลก และจำนวนคอนเทนเนอร์จากท่าเรือของจีนติดอันดับ 1 ของโลก คือท่าเรือที่เซี่ยงไฮ้
ซึ่งช่วงนี้จีนเองกำลังมีวิกฤตเศรษฐกิจ และมีสงครามการค้ากับอเมริกา ซึ่งอาจกระทบการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากจีน แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อดัชนีค่าระหว่างเรือตู้คอนเทนเนอร์
เทศกาลต่างๆก็อาจทำให้มีการขนส่งสินค้ากันคึกคักชั่วคราวได้
การดูจีดีพีของประเทศต่างๆทั่วโลกก็บ่งบอกถึงความต้องการในการใช้เรือขนส่งสินค้าได้ด้วย
อีกอย่างนึงที่ส่งผลต่อค่าระหว่างเรือ คือ จำนวนเรือรวมทั้งโลก อายุกองเรือ และคำสั่งต่อเรือใหม่ ซึ่งคำสั่งต่อเรือใหม่จะต้องใช้เวลาในการต่อเรือประมาณสองปี
นอกจากนี้การสต๊อกสินค้าต่างๆหรือเหตุการณ์ก็ส่งผลต่อค่าระหว่างเรือ
รวมถึงบางเหตุการณ์ เช่น ในช่วงโควิดที่ผ่านมา มีการล็อคดาวน์เมืองทำให้การสั่งสินค้าต่างๆลดน้อยลง ตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งไปยังท่าเรือต่างๆ ก็ไม่ได้ถูกส่งกลับมา ยังประเทศผู้ผลิตสินค้า ทำให้เกิดเหตุการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ส่งผลให้ค่าระหว่างเรือสูงขึ้นเช่นกัน
CCFI SCFI CHART https://en.macromicro.me/charts/947/commodity-ccfi-scfi
#หุ้นเดินเรือ
********
สรุป ทางเลือกของการลงทุน ตปท
- ลงทุน DR ETF กองทุนรวมต่างประเทศ ที่อยู่ใน SET แทน (ถ้ามี) อันนี้จะตัดปัญหาความยุ่งยากทั้งหมด (แต่การลงทุนในกองทุนรวมต้องไปพึ่งฝีมือของผู้จัดการกองทุนซึ่ง “ส่วนมาก” เป็นที่รู้ๆอยู่ 😌)
- ลงทุนใน ตปท เป็นสัดส่วนที่น้อย ที่คาดว่าไม่ต้องนำเงินกลับเข้าประเทศใน 10-20 ปี หรือ ถึงเกษียณ แล้วปล่อยให้พอร์ตต่างประเทศค่อยค่อยเติบโต
เมื่อพอร์ตต่างประเทศเติบโตใหญ่มากพอแล้ว  ค่อยนำเงินเข้าประเทศไทยได้สองแบบ คือทยอยนำเข้ามาเท่าที่ต้องการเพื่อทยอยแบ่งเสียภาษี หลายๆปีโดยนำเข้าเมื่อปีภาษีนั้นโดนขั้นบันไดภาษีไม่สูง หรือ เที่ยวต่างประเทศจนอยู่ในไทยน้อยกว่า 180 วันแล้วค่อยนำเงินก้อนนั้นเข้ามาทั้งก้อน (บางคนรอเวลาเที่ยวตอนเกษียณ)
- หากจะนำเงินไปลงทุนต่างประเทศเป็นสัดส่วนที่มาก ก็ควรมั่นใจว่า มีพอร์ตในประเทศที่มีรายได้เพียงพอสามารถนำมาใช้จ่าย ได้ซัก 10 ปี เพื่อที่จะไม่ต้องนำเงินจากพอร์ตต่างประเทศเข้ามาแบบฉุกละหุกแล้วจะโดนภาษีในเรทที่สูง  และเมื่อจะนำเงินจากพอร์ตต่างประเทศเข้าก็ทำตามวิธีที่ได้กล่าวไปแล้วข้างบน
- อาจจะต้องคำนวณผลตอบแทนพอร์ตต่างประเทศ โดยนำกำไรที่ได้หักตามฐานภาษี ขั้นสูงสุดที่เคยจ่าย แล้วค่อยนำมาเทียบกับผลตอบแทนที่ลงทุนในไทยว่าอันไหนคุ้มกว่ากัน
เช่น หาก ลงทุนในไทยได้ผลตอบแทน 15% และลงทุนในต่างประเทศได้กำไรปีละ 20%
แล้วเคยเสียภาษีขั้นบันไดสูงสุดที่ 30%  ผลตอบแทนพอร์ต ตปท หลังหักภาษีจะอยู่ที่ 14% ซึ่ง เมื่อเทียบแล้วจะได้ผลตอบแทนต่ำกว่าลงทุนในไทย เป็นต้น 
ปล. คำนวณโดยอ้างอิงแนวคิดเดิม ที่เงินได้พึงประเมิน คือ กำไร แล้วนำเข้าจึงคำนวณภาษีจากกำไร โดยส่วนของต้นทุน (ดูจากตอนนำเงินออก) นำกลับเข้ามาได้โดยไม่ต้องคำนวณภาษีเหมือนเกณฑ์เดิม
*********
เรื่องค่าเงินบาทอ่อน-แข็ง หลายคนน่าจะสับสนกับการใช้คำ เช่น ค่าเงินบาทจาก 35 ไป 36 เรียกค่าเงินอ่อน บางคนสับสนเรียกค่าเงินแข็ง
มีวิธีคิดแบบนี้ เวลาจะซื้อของ เช่น ถ้าซื้อมาม่า 1 ห่อเคยซื้อ 5 บาท ต่อมาซื้อมาม่า 1 ห่อ กลายเป็น 8 บาท “ซื้อของเท่าเดิมต้องใช้เงินมากขึ้น” แบบนี้เราจะรู้ว่า ค่าเงินน้อยลง (เงินมีค่าน้อยลง เงินอ่อนค่าลง)
เช่นเดียวกัน เวลาซื้อดอลล่าร์ เคยซื้อ 1 ดอลลาร์ด้วยเงิน 35 บาท ต่อมาต้องใช้เงิน 36 บาทเพื่อซื้อ 1 ดอลล่าร์เท่าเดิม แปลว่าค่าเงินบาทมีค่าน้อยลง “เงินอ่อนค่าลง” เรียกว่า “ค่าเงินอ่อน”
ในทางกลับกัน ถ้า เคยซื้อ 1 ดอลล่าร์ด้วยเงิน 35 บาทต่อมาซื้อ 1 ดอลล่าร์ได้ที่ที่ 34 บาท แปลว่าเงินบาทมีค่ามากขึ้น “เงินแข็งค่าขึ้น” เรียกว่า “ค่าเงินแข็ง”
คำว่าค่าเงินอ่อน หมายถึงมีค่าลดลง และคำว่าค่าเงินแข็งหมายถึงมีค่ามากขึ้น
จำแบบนี้น่าจะหายสับสน 😊