วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

The 10 Commandments ของการลงทุน  โดยลุงโฉลก



The 10 Commandments ของการลงทุน

1. อย่าลงทุนในตลาดที่ตัวเองไม่มีความรู้ แต่ละตลาด แต่ละหุ้น แต่ละ Commodity แต่ละสัญญา ฯลฯ มีลักษณะต่างกัน บางตลาดมี Wave 3 เป็น Wave ที่ใหญ่ที่สุด บางตลาดมี Wave 5 เป็น Wave ที่ใหญ่กว่า Wave 3 บางตลาดมี Seasonal pattern และบางตลาดมี financial pattern นักลงทุนควรมีความรู้ทางด้าน Fundamental ในเรื่องเหล่านี้ด้วย แต่ไม่ใช่ Fundamental จนถึงขนาดที่จะต้องเข้าไปเรียนรู้สภาพทางการเงิน ฯลฯ นักลงทุนที่ลงทุนอยู่ในตลาดยางพารา ไม่ควรกระโดดเข้าตลาด Forex ทันที เพราะแต่ละตลาดมีลักษณะไม่เหมือนกัน กฏเกณฑ์ไม่เหมือนกัน Margins ไม่เท่ากัน ฯลฯ การลงทุน ควรลงทุนอย่างมีความสุข ไม่ใช่เสี่ยงไปเรื่อยๆในตลาดที่ตัวเองไม่มีความชำนาญ ถ้าไม่มีความรู้ความชำนาญเพียงพอ อาจจะดีกว่าที่จะให้ Fund managers เป็นผู้ลงทุนให้

2. อย่าลงทุนตามคำแนะนำว่าเป็นข้อมูลลับ รู้เฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนมาทั้งชีวิต เป็นเวลาหลายสิบปี ต่างก็มีประสบการณ์เดียวกัน คือไม่เคยรู้ Inside information จริงๆสักครั้งหนึ่ง ที่เพียงพอที่จะทำกำไรได้มากมาย เหตุผลก็คือ ข้อมูลอย่างนั้นไม่มีในโลก ถ้ามี ก็เป็นสิ่งผิดกฏหมาย และถ้ามีจริง ก็ไม่มีใครบอกคนอื่น ข้อมูลบางประการที่อาจจะรู้ได้ก่อนตลาดเล็กน้อย ก็แสดงออกในรูปของการเปลี่ยนแปลงใน Chart pattern แล้ว ดังนั้น อย่าเชื่อ เมื่อมีใครบอกว่ามีข้อมูลทีเด็ด ให้ซื้อหุ้นตัวนั้น ตัวนี้ ฯลฯ หลอกกันทั้งนั้นครับ แต่ถ้าไม่ใช่ข้อมูลลับ แต่เป็น ข่าวลือ ที่ลือกัน หึ่ง ในตลาด ข้อนี้เอามาใช้ได้ครับ ตลาดมักจะขึ้นเมื่อมีข่าวลือ และเมื่อข่าวลือ Confirm แล้ว ตลาดก็จะตก โดยทั่วๆไป ข่าวลือ มักไม่มีประโยชน์จริงจังในการตัดสินใจ

3. ใช้คำสั่งที่ ธรรมดา ที่สุดคำสั่งซื้อขายที่ธรรมดาที่สุดคือ Market order อย่าเสียเวลาพยายามซื้อที่ราคาถูกกว่าราคาตลาดเล็กน้อย หรือขายที่ราคาสูงกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ถ้าสามารถซื้อได้ที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ก็แปลว่าตลาดกำลังลง ซื้อไปก็ขาดทุน หรือเมื่อขายได้ที่ราคาสูงกว่าตลาดเล็กน้อย ก็แปลว่าตลาดกำลังขึ้น กำลัง ขายหมู ดังนั้น คำสั่ง Limit จึงมีแต่ความผิดหวัง ถ้าซื้อตามคำสั่งไม่ได้ก็ผิดหวัง ถ้าซื้อได้ตลาดก็กำลังลง ฯลฯ พยายามใช้คำสั่งที่ง่ายที่สุด คือ at market แล้วเอาเวลา (ที่จะลุ้นเพื่อผิดหวัง) ไปพิจารณาเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์ดีกว่า

4. อย่าเปลี่ยนสูตรกลางการลงทุนอย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก เมื่อลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง โดยวางแผนจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ให้พิจารณาให้ดีก่อนเริ่มลงทุน เมื่อมี Position แล้ว อย่าเปลี่ยนวิธีการลงทุน อย่าเปลี่ยนสูตร ใช้วิธีที่พิจารณาแล้วนั้น ทำต่อไปจนจบการลงทุนในครั้งนั้นๆ ถ้าจะเปลี่ยนสูตร หรือเปลี่ยนวิธี ฯลฯ ก็พิจารณาแล้วใช้ในการลงทุนครั้งต่อไป เมื่อนักลงทุนอยู่ไกล้ตลาดเกินไป คือดูราคาบ่อยๆระหว่างวัน การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของราคา ก็อาจจะทำให้จิตหวั่นไหว และเปลี่ยนแผนการลงทุนในท่ามกลางอย่างไม่มีเหตุผล ผลก็คือการขาดทุน


5. อย่าคันมือถ้ายังไม่สามารถหาจุดเข้า ซื้อ/ขาย ตามทฤษฎีได้ เป็นเวลาที่ต้องอยู่เฉยๆ ไม่ลงทุน เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่สุดของนักลงทุน คือซื้อเป็น ขายเป็น แต่อยู่เฉยๆไม่เป็น นักลงทุนต้องฝึกฝนให้ตัวเองเป็นผู้มี ระเบียบ ในการลงทุนตาม ระบบ ถ้ามีเหตุอันใดก็ตามที่ทำให้ ตกรถ ก็ต้องยอมรับการ ตกรถ อย่าฝืนกฏกระโดดขึ้นรถที่ออกวิ่งแล้ว จะตกลงมาบาดเจ็บเปล่าๆ อย่ากังวลว่าจะไม่ได้ Trade โอกาสจะย้อนมาใหม่อีกเสมอ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเข้า ซื้อ/ขาย มี Positions แล้ว ถ้าผิดทาง หรือถ้าตลาดไม่ Move ในทิศทางที่เราคาดหมาย ก็อย่าทนดื้อด้านอยู่ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ กำหนด Stop loss ให้ Sensitive ถ้าตลาดไม่เคลื่อไปในทิศทางที่เราคาดหมายภายใน 2-3 วัน ออกไปหาตลาดอื่นดีกว่า


6. พิจารณาตลาดอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยไม่มีตลาดใดตลาดหนึ่งที่เป็นเอกเทศ ทุกตลาดจะมีความสัมพันธ์กับบางตลาดเสมอ เช่น TFEX จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ SET Index และมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ยางพาราที่ AFET มีความสัมพันธ์โดยตรงกับตลาดยางพาราที่ TOCOM และตลาดการผลิตรถยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่ ฯลฯ บ่อยครั้งที่มีสัญญาณจากตลาดอื่น เกิดขึ้นก่อนสัญญาณ ซื้อ/ขาย ในตลาดที่เรากำลังลงทุนอยู่ สภาพดินฟ้าอากาศและการทำนายสภาวะอากาศล่วงหน้า มีผลอย่างมากต่อราคาของตลาด Corn ใน Futures market นักลงทุนไม่ควรพิจารณา Technical aspect ของสินค้าตัวใดตัวหนึ่งโดยลำพัง ควรพิจารณาตลาดอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย

7. ให้ความสำคัญต่อ Open Interest ในการ Trade Optionsถ้านักลงทุนจะลงทุนในตลาด Options ที่กำลังจะเปิดในประเทศของเราเร็วๆนี้ สิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาคือ จำนวน Open Interest ใน Option นั้นๆ ที่ Strike price นั้นๆ ที่ Expiry date นั้นๆ เพราะถ้าตลาดมี Open Interest น้อย ราคา Bid และ Offer ก็จะต่างกันมาก และเมื่อเปิดหลายๆ Positions แล้ว ก็อาจจะ Close positions ก่อนถึง Expiry date ไม่ได้ ใน Complex option trading เช่นการใช้ Surrogate Covered Call Write โดยใช้ Option ชนิด LEAPS (Long-Term Equity AnticiPation Securities) แทนการถือ Long positions ฯลฯ เทคนิคเหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นการลดความเสี่ยง แต่ก็ต้องเปิดหลาย Positions ในตลาดที่มี Open interest น้อย จะทำให้เกิด Slippage คือ ซื้อ/ขาย ที่ราคา Market ไม่ได้ และอาจจะทำให้ระบบเหล่านั้นไม่ทำงานตามที่วางแผนการลงทุนเอาไว้

8. รู้จักขอบเขตุความสามารถของตัวเองนักลงทุนสามารถเลือกตลาดที่จะลงทุนได้ สามารถเลือกชนิดของคำสั่งในตลาดได้ สามารถเลือกเวลาที่จะเข้า ซื้อ/ขาย ได้ สามารถกำหนดจำนวนสัญญาที่จะลงทุนได้ และสามารถกำหนดการ Stop loss หรือ Liquidate หรือ Cover หรือ Take profit ได้ แต่นักลงทุนไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาดได้ ตลาดมักจะสร้าง Pattern แปลกๆ ที่เราไม่คาดคิดเสมอ การรู้ขอบเขตุความสามารถของตัวเอง ว่าเราไม่สามารถควบคุมตลาดได้ ไม่มีใครรู้อนาคต เป็นความจริงที่นักลงทุนจะต้องระลึกไว้เสมอ



9. รอสัญญาณก่อนเข้าตลาดบ่อยครั้งที่นักลงทุนสามารถมองเห็น Pattern ได้ก่อน และสามารถรู้ล่วงหน้าว่าตลาดจะไปทางไหน นักลงทุนมักจะเข้า ซื้อ/ขาย ทันที ซึ่งเป็นข้อผิดพลาด เพราะตลาดมักจะแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่เราไม่คาดหวังได้ง่ายๆ การลงทุนที่ดีกว่า คือการรอให้เกิด สัญญาณ ซื้อหรือขายเสียก่อน คือให้ตลาด Confirm การคาดหวังของเราเสียก่อน แล้วค่อยเข้าไป ซื้อ/ขาย ตามสัญญาณนั้นๆ เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อได้ที่ Low หรือขายได้ที่ High แต่เราจำเป็นที่จะต้องเห็นราคาสูงขึ้นหลังจากซื้อ และต่ำลงหลังจากขาย


10. อย่าลงทุนเกินจำนวนเงินที่สามารถเสี่ยงได้ในตลาด Futures เมื่อราคาเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการคาดหมายของเรา ตลาดจะมี Margin Call ที่นักลงทุนจะต้องจ่ายทันที หรือโดน Force liquidation ดังนั้น การลงทุนจึงต้องเผื่อเงินเอาไว้ให้เพียงพอต่อ Margin call และเพียงพอต่อการลงทุนรอบต่อไป ถ้ารอบแรกๆขาดทุน โดยปรกติ ลุงโฉลกจะตั้งกฏเอาไว้ให้ใช้เงิน 6 เท่าของ Total margin requirement สำหรับการลงทุนในปีแรก และลดลงเหลือ 4 เท่าในปีต่อๆไป